นายอ่องตานอู รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไฟฟ้าพม่าได้ออกมาเปิดเผยกับส.ส.ในสภาว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่หมู่บ้านอิน ดิน (Inn Din) ในรัฐมอญ จะถูกระงับไว้ชั่วคราวจนกว่าชาวบ้านในพื้นที่จะยินยอม ทั้งนี้ที่ผ่านมาพบว่า ชาวบ้านในพื้นที่ราว 90 % ต่อต้านโครงการนี้ โดยชาวบ้านอ้างโครงการนี้ไม่มีความโปร่งใส และจะกระทบต่อวิถีชีวิต สุขภาพ และการทำเกษตรท้องถิ่นอย่างการทำประมงและการทำเกษตร ซึ่งเป็นรายได้หลักของชาวบ้าน

โครงการโรงงานไฟฟ้าถ่านหินในรัฐมอญของบริษัทโตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับกระทรวงพลังงานไฟฟ้าของรัฐบาลพม่า เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ประเภท Ultra Super Critical (USC) กำลังผลิตไฟฟ้า 1,280 เมกะวัตต์ โดยบริษัทโตโย – ไทยคอร์ปอเรชั่นได้รับสัมปทานเป็นเวลา 30 ปี มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งพื้นที่โครงการอยู่ใกล้กับชายหาดหมู่บ้านอินดิน ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลอันดามัน มีรายงานว่า โครงการจะเริ่มก่อสร้างในปี 2559 โดยจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 4-6 ปี บนพื้นที่กว่า 1,250 ไร่ แต่ที่ผ่านมาก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากชาวบ้าน ทั้งการออกมาชุมนุมรวมตัวคัดค้านเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงล่ารายชื่อคัดค้าน

และสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 58 ที่ผ่านมา นายมีมิ้นตาน ส.ส.มอญ ได้ตั้งกระทู้ถามไปยังรัฐบาลว่าจะดำเนินการกับโครงการนี้ต่อไปอย่างไร รวมถึงได้ตั้งคำถามว่า จะรวมเอาเมืองเย รัฐมอญเข้าร่วมอยู่ในแผนการขยายไฟฟ้าแห่งชาติด้วยหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ ประชาชนในเมืองเยจำเป็นต้องใช้ไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเอกชน ที่ต้องจ่ายค่าไฟต่อหน่วยอยู่ที่ 500 – 1,000 จั้ต (ประมาณ 14 – 28 บาท)โดยทางนายอ่องตานอู รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไฟฟ้าพม่า ได้ตอบคำถามว่า ในขณะนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินในรัฐมอญนั้นจะถูกระงับไว้ชั่วคราว จนกว่าชาวบ้านจะเห็นด้วยและยินยอม และระบุว่า ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลได้รับคำปรึกษาและศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ประเทศไทยและญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังเปิดเผย กำลังเริ่มหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าให้กับเมืองเย เมืองเหมาะละแหม่ง รัฐมอญ รวมถึงเขตตะนาวศรี รัฐมนตรีช่วยกระทรวงไฟฟ้าของพม่ายังอ้างผลดีของโรงไฟฟ้าถ่านหินว่าสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและไฟฟ้าจากถ่านหินนั้นมีราคาถูก โดยตกอยู่ที่ 100 จั้ตต่อหน่วย

ทั้งนี้ ตามแผนการขยายไฟฟ้าแห่งชาติ พม่าวางแผนที่จะให้มีไฟฟ้าใช้ให้ทั่วถึงครอบคลุมในประเทศภายในปี 2573 ซึ่งปัจจุบัน มีประชาชนเพียงราว 30 % เท่านั้นที่มีไฟฟ้าใช้ ตามข้อมูลที่มีการสำรวจเมื่อปี 2557 ยังพบว่า มีประชาชนเพียง 32.4 % เท่านั้นที่ตอบแบบสอบถามว่า มีแสงสว่างจากไฟฟ้าใช้ ขณะที่เกือบ 70 % ยังใช้ฟืนในการทำกับข้าว และมีเพียง 16.4 % ที่ทำกับข้าวจากพลังงานไฟฟ้า

ตามแผนไฟฟ้าแห่งชาติของพม่า โดย JICA (หรือองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ ของญี่ปุ่น) คาดว่า ประเทศพม่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 23,594 เมกกะวัตต์ ในปี 2573 – 2574 โดยแหล่งพลังงานไฟฟ้าจะมาจากหลายส่วน เช่น 38 % มาจากเขื่อน 33 % มาจากถ่านหิน 20 % มาจากก๊าซ และ 9 % มาจากพลังงานหมุนเวียน

ที่มา Irrawaddy
โดย Transborder News